การศึกษาพระโลหะ
พระโลหะต่างๆนั้นถ้าเราศึกษาอย่างจริงจังแล้วนั้น
เราต้องพิจารณาดูว่าโลหะที่เป็นมงคลนั้น คนสมัยโบราณท่านใช้โลหะอะไร
ซึ่งคงจะไม่พ้น ทองคำ เงิน นาก( ทองแดง ผสม ทองคำ ) ซึ่งไม่ว่าจะทำพระชนิดใดจะต้อง
มีโลหะมงคลผสมอยู่ไม่มากก็น้อย ดังนั้นในการพิจารณาว่าเป็นพระแท้
หรือพระปลอมจะต้องนำคุณสมบัติของโลหะ ของแต่ละชนิดมาพิจารณาประกอบด้วย
เพราะโลหะแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเฉพาะตัว หรือที่เรียกว่า ค่าความถ่วงจำเพาะ
(หรือค่าความหนาแน่นของโลหะ) ซึ่งโลหะในแต่ละชนิดจะไม่เท่ากัน โดยนำมาเทียบกับน้ำ ที่มีค่าเป็นหนึ่ง
ตารางความหนาแน่นของสสารชนิดต่าง
ๆ
|
|
ค่าความหนาแน่นในหน่วย kg/m3
|
ค่าความถ่วงจำเพาะ
|
อิริเดียม
22650
|
|
ออสเมียม
22610
|
|
แพลทินัม
21450
|
|
ทองคำ
19300
|
19.300
|
ทังสเตน
19250
|
|
ยูเรเนียม 19050
|
|
ปรอท
13580
|
|
แพลเลเดียม
12023
|
|
ตะกั่ว
11340
|
11.340
|
เงิน
10490
|
10.490
|
ทองแดง
8960
|
8.960
|
เหล็ก
7870
|
|
ดีบุก
7310
|
|
ไทเทเนียม
4507
|
|
เพชร
3500
|
|
อะลูมิเนียม
2700
|
|
แมกนีเซียม
1740
|
|
น้ำทะเล
1025
|
|
น้ำ
1000
|
1.000
|
จะเห็นได้ว่าทองคำ
มีค่าความหนาแน่นสูงมาก เมื่อเทียบกับโลหะชนิดอื่นๆ เป็นดั่งคำที่นักสะสมพระท่านสอนไว้ว่า
ให้เก็บพระที่ตึงมือสำหรับพระโลหะ จากที่เราดูคุณสมบัติของโลหะ
เพียงเราหยิบมาก็จะรู้แล้วว่า มีทองคำผสมอยู่หรือไม่ เพราะถ้าไม่มีทองคำผสมเราจะถือว่าเป็นพระปลอมทั้งหมด
มันเป็นการผิดสูตรการทำพระโบราณแต่นี่เป็นเพียงการพิจารณาขั้นตอนแรก
แต่ได้ผลมากกว่าการใช้เพียงตาดู หลังจากนั้นเราจะมาพิจารณาต่อไป
ถึงศิลปะการสร้างพระ ในแต่ละวิธี เช่น
1.
แบบเบ้าทุบ
2.
แบบบล็อกประกบตัดช่อ
3.
แบบเทลงเบ้า ในเนื้อชินต่าง
อีกทั้งเรายังนำคุณสมบัติเหล่านี้
ไปตรวจสอบว่าเป็นทองชุบหรือเปล่า โดยการใช้เทียบปริมาตรกับน้ำหนัก โดยการนำทองคำไปใส่ลงในภาชนะที่มีน้ำอยู่เต็ม
เพื่อไปทดแทนปริมาตร ทองหนัก 1 บาท
ได้ปริมาตร เท่านี้ นำไปเทียบกับโลหะที่ต้องการวิเคราะห์ต่อไป